คือพลังแห่งรักและศรัทธา…
โดย……สุขสุดใจ
…น้ำใจไมตรีของประชาชนชาวไทยที่ร่วมกันแสดงออกทั่วประเทศ รวมทั้งที่พร้อมเพรียงกันมาในวันนี้ น่าปลาบปลื้มใจมาก เพราะแต่ละคนได้แสดงออกและตั้งใจมาด้วยความหวังดีจากใจจริง จึงขอขอบใจทุกๆ คน จิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดี และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทุกคน ทุกฝ่าย ทำให้ข้าพเจ้าเห็นแล้วมีกำลังใจมากขึ้น นึกถึงคุณธรรมซึ่งเป็นที่ตั้งของความรัก ความสามัคคี ที่ทำให้คนไทยเราสามารถร่วมมือร่วมใจกันรักษาและพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อกันไปได้ตลอดรอดฝั่ง…
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม วันที่ 9 มิถุนายน 2549
ปี 2549 นับเป็นปีประวัติศาสตร์ของชาติไทย ด้วยเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 9 แห่งบรมราชวงศ์จักรี พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงครองแผ่นดินโดนธรรม และทรงอุทิศพระวรกายเพื่อความผาสุกแห่งมหาชนชาวสยาม และถือเป็นมหามงคลสมัยพิเศษยิ่ง มิใช่เฉพาะสำหรับประเทศไทย หากแต่สำหรับประชาชาติทั้งหมดในโลกนี้ ด้วยทรงครองราชย์ในฐานะของกษัตริย์ไทยเป็นปีที่ 60 และยังเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกอีกด้วย
ภาพประชนชาวไทยในเสื้อสีเหลืองที่หลั่งไหลกันมาจากทุกสารทิศ ตั้งแต่คืนวันที่ 8 มิถุนายน โดยมีจุดหมายแห่งเดียวกันที่จะมุ่งตรงไปยังลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อที่จะรอรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะเสด็จออกมหาสมาคมในวันรุ่งขึ้นอย่างใกล้ชิดนั้น ได้กลายเป็นภาพเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่จะยังคงตราตรึงในใจของประชาชนชาวไทยอย่างมิรู้ลืมเลือน ….จากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่น จากหมื่นเป็นแสน จนถนนบริเวณลานพระที่นั่งดุสิต ทอดยาวจนจรดปลายถนนราชดำเนินนอกถึงสะพานผ่านฟ้าลีลาศเนืองแน่นไปด้วยประชาชนที่พร้อมใจกันใส่เสื้อเหลือง
ปรากฏการณ์คลื่นมหาชนเสื้อเหลืองในวันที่ 9 มิถุนายน 2549 ได้สะท้อนให้เห็นถึงพลังแห่งความรัก ความศรัทธา และความจงรักภักดีอันเป็นหนึ่งเดียวของปวงชนชาวไทย ที่ยากจะหาพลังใดเปรียบเสมือนได้ พลังดังกล่าวได้ถูกถ่ายทอดผ่านคำถวายพระพร “ทรงพระเจริญ” ที่ดังกึกก้องอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จออกประทับที่สีหบัญชร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พร้อมมีพระราชดำรัสแก่ประชาชนที่มาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ความสงบที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข อิ่มเอมใจ ก็ได้เคลื่อนเข้ามาแทนที่ พสกนิกรจำนวนมากถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หากแต่เป็นน้ำตาแห่งความปลื้มปีติ ตื้นตันใจ และภูมิใจเป็นที่สุดที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของในหลวง ซึ่งเป็นทั้งพ่อของแผ่นดิน และเป็นพ่อพระในใจปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า
“ข้าพเจ้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาอยู่ในท่ามกลางมหาสมาคม พร้อมพรั่งด้วยบุคคลจากทุกสถาบันในชาติ ตลอดจนประชาชนชาวไทย ขอขอบใจในคำอำนวยพรและการเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ ที่ทุกคนตั้งใจจัดให้ข้าพเจ้าเป็นพิเศษ ทั้งรัฐบาลได้จัดงานครั้งนี้ได้เรียบร้อยและงดงาม น้ำใจไมตรีของประชาชนชาวไทยที่ร่วมกันแสดงออกทั่วประเทศ รวมทั้งที่พร้อมเพรียงกันมาในวันนี้ น่าปลาบปลื้มใจมาก เพราะแต่ละคนได้แสดงออกและตั้งใจมาด้วยความหวังดีจากใจจริง จึงขอขอบใจทุกๆ คน จิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดี และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทุกคน ทุกฝ่าย ทำให้ข้าพเจ้าเห็นแล้วมีกำลังใจมากขึ้น นึกถึงคุณธรรมซึ่งเป็นที่ตั้งของความรัก ความสามัคคี ที่ทำให้คนไทยเราสามารถร่วมมือร่วมใจกันรักษาและพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อกันไปได้ตลอดรอดฝั่ง
ประการแรก คือ การที่ทุกคนคิด พูด ทำ ด้วยความเมตตา มุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน
ประการที่สอง คือ การที่แต่ละคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประสานงาน ประสานประโยชน์กัน ให้งานที่ทำสำเร็จผล ทั้งแก่ตน แก่ผู้อื่น และกับประเทศชาติ
ประการที่สาม คือ การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต ในกฎกติกา และในระเบียบแบบแผน โดยเท่าเทียมเสมอกัน
ประการที่สี่ คือ การที่ต่างคนต่างพยายามทำความคิด ความเห็นของตนให้ถูกต้อง เที่ยงตรง และมั่นคงอยู่ในเหตุในผล หากความคิด จิตใจ และการประพฤติปฏิบัติที่ลงรอยเดียวกันในทางที่ดี ที่เจริญนี้ยังมีพร้อมมูลในกาย ในใจของคนไทย ก็มั่นใจได้ว่า ประเทศชาติไทยจะดำรงมั่นคงอยู่ตลอดไปได้ จึงขอให้ท่านทั้งหลายในมหาสมาคมนี้ ทั้งประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ได้รักษาจิตใจและคุณธรรมนี้ไว้ให้เหนียวแน่น และถ่ายทอดความคิด จิตใจนี้กันต่อไปอย่าให้ขาดสาย เพื่อให้ประเทศชาติของเราดำรงยืนยงอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขทั้งในปัจจุบันและในภายหน้า
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล จงคุ้มครองรักษาประเทศชาติไทย ให้ปลอดพ้นจากภัยอันตรายทุกสิ่ง และอำนวยความสุข ความเจริญ สวัสดี ให้เกิดมีแก่ประชาชนชาวไทยทั่วกัน”
ภายหลังพระราชดำรัสจบ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี จากนั้นพสกนิกรในบริเวณพิธีต่างพร้อมใจส่งเสียงแซ่ซ้องถวายพระพร “ทรงพระเจริญ…..ทรงพระเจริญ…ทรงพระเจริญ….” อีกครั้งอย่างกึกก้อง พร้อมโบกสะบัดธงทิวสีเหลืองอันเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของในหลวง และสีประจำสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ ควบคู่ไปกับธงไตรรงค์ซึ่งเป็นธงประจำชาติไทย อย่างต่อเนื่องและยาวนาน “จิรพร มรกตจินดา” ผู้สื่อข่าวของโมเดิร์นไนน์ทีวีซึ่งอยู่ร่วมในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์วันนั้นเล่าด้วยความปลาบปลื้มว่า ได้ชวนเพื่อนๆ ที่สนิทไปนั่งตั้งแต่เช้า แม้รู้ว่าจะต้องเหนื่อย แต่ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้มีกำลังใจที่จะอยู่เฝ้ารอ ท่ามกลางผู้คนหลายหมื่นคนในบริเวณนั้น
“ตอนที่พระองค์ท่านมีพระราชดำรัสออกมา ทั้งผู้หญิง ผู้ชายที่อยู่ที่นั่นรวมทั้งตัวเราน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งแบบไม่รู้ตัว ได้ยินเสียงคนข้างๆ ตะโกนร้องว่า “ทรงพระเจริญ” ในนาทีนั้นอยากจะร้องตาม แต่ร้องไม่ออก เพราะตื้นตันอยู่ข้างใน”
จิรพรบอกว่าถือเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่มีความสุขที่สุดในชีวิต เพราะเป็นพสกนิกรคนหนึ่งที่มีความจงรักภักดี มีกิจกรรมอะไรที่เกี่ยวข้องกับในหลวงที่ไหน ก็อยากที่จะมีส่วนร่วม มีความสุขกับตรงนั้น
“ศรัญญา ทองทับ” ผู้สื่อข่าวสายพลังงานจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า หลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีในช่วงเช้าในวันนั้น ประชาชนจำนวนมากที่เป็นร่วมแสดงความจงรักภักดี ยังคงเดินตามถนนราชดำเนินไปยังสนามหลวง วัดพระแก้วมรกต เพื่อไปชมการซ้อมเห่เรือราชพิธี ชมไฟประดับ และอยู่ร่วมกันจนถึงเที่ยงคืน ความรู้สึกในตอนนั้นเชื่อมั่นว่า ความจงรักภักดีที่มีต่อในหลวงจะไม่มีวันหยุดและไม่มีวันหมดไปจากใจของคนไทย
“ณัฐณิชา ดอนสุวรรณ” ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น เผยพร้อมรอยยิ้มว่า รู้สึกตื่นเต้นตั้งแต่เช้าระหว่างเดินทางออกจากบ้าน เห็นผู้คนใส่เสื้อสีเหลืองที่มีตราสัญลักษณ์เต็มไปหมด ไม่ว่าจะนั่งอยู่ในรถเมล์ รถไฟฟ้าใต้ดิน บางคนเหลืองทั้งตัวแม้กระทั่งเครื่องประดับ จนทำให้เธอที่อยู่ในเสื้อมีเหลืองเช่นกัน เริ่มไม่มั่นใจว่าเหลืองน้อยเกินไปรึเปล่า”
“สิ่งที่ประทับใจ คือ การที่ได้เห็นคนไทยทุกคนได้ร่วมกันใส่เสื้อสีเหลืองและต่างนั่งลงกับพื้นเฝ้าชมการถ่ายทอดสดทางทีวีตามสถานที่ต่างๆ และตัวเราก็มีโอกาสได้เป็นคนหนึ่งในนั้น ในวันประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของประเทศ”
“จันทิมา ศิลชาติ” ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ เล่าว่า แม้จะนั่งชมการถ่ายทอดสดทางทีวี แต่หลังได้ยินพระราชดำรัส น้ำตาไหลไม่หยุดด้วยความปลาบปลื้มปิติ อยากให้พระองค์ท่านมีพระชนม์มายุยืนยาวอยู่กับพสกนิกรชาวไทยไปตลอด
“กันยา เลขะวัฒนะ” ผู้สื่อข่าวมันนี่ ชาเนล บอกว่า “แค่ได้เพียงสัมผัสบรรยากาศที่คนร่วมแสนร่วมถวายความจงรักภักดีผ่านทางจอทีวีก็ทำให้เกิดความซาบซึ้งและปลื้มปีติแล้ว ภาพที่อยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืมคือ ภาพที่ในหลวงทรงโบกพระหัตถ์เคียงคู่กับสมเด็จพระราชินี ทำให้รู้สึกว่าพระองค์ท่านคอยห่วงใยเราอยู่ และเราควรจะต้องทำความดี เป็นการถวาย เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดี” พลังแห่งความรักและศรัทธาที่ชาวไทยได้ร่วมกันน้อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในครั้งนี้ ได้แสดงให้ทั่วโลกประจักษ์แล้วว่า สถาบันกษัตริย์ยังคงเป็นระบอบล้ำค่าสำหรับสังคมไทยอย่างแท้จริง และถ้าวันนี้ประชาชนชาวไทยทั้ง 60 ล้านคน จะต่อยอดพลังแห่งความยิ่งใหญ่นี้ด้วยการที่แต่ละคนปฏิบัติดีทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น วงล้อของสังคมไทยคงจะหมุนและขับเคลื่อนไปสู่เจริญรุ่งเรืองแห่งคุณธรรมอย่างยั่งยืน ดั่งที่พ่อหลวงของพวกเราทุกคนได้ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยหลักทศพิธราชธรรมตลอด 60 ปีแห่งการครองราชย์ ที่ได้นำประโยชน์สุขและความร่มเย็นมายังพสกนิกรของพระองค์ ให้คนไทยทุกคนได้ “เย็นศิระเพราะพระบริบาล” โดยแท้
************************************