Home กิจกรรมสมาคม สัมมนา “แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง”

สัมมนา “แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง”

by admin
513 views

สัมมนา “แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง”
สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจจัดสัมมนา“แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง” โดยมี คุณโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม คุณพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) คุณปีเตอร์ จอห์น แวน ฮาเรน ประธานหอการค้าต่างประเทศ และ คุณมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นวิทยากรสัมมนา ณ ห้องมัฆวานรังสรรค์ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ให้ความมั่นใจว่าจีดีพีปีนี้จะโตสี่เปอร์เซนต์แน่นอน สิ่งที่รัฐบาลทำได้ในขณะนี้คือทำนโยบาลทางการเงินเพื่อช่วยภาคการบริโภค ส่วนทางด้านซัพพลายนั้นธุรกิจจะต้องปรับตัวและร่วมกันคิด ร่วมกันทำกับรัฐบาล ทั้งนี้รัฐบาลก็ได้เร่งการใช้จ่ายของรัฐบาลด้วย
นายโฆษิตกล่าวว่าขณะนี้รัฐบาลกำลังมีสองปัญหานั่นคือ เศรษฐกิจโตช้า และโครงสร้างการเติบโตไม่สมบูรณ์ซึ่งรัฐบาลเลือกที่จะจัดการปัญหาที่สอง เนื่องจากไม่เชื่อว่าการกระตุ้นจะนำมาซึ่งการโตที่รวดเร็วโดยปราศจากภาวะที่บิดเบือน อย่างไรก็ตามปีนี้คงจะยังไม่เห็นผลว่าจะโตได้ถึง 10 เปอร์เซนต์อย่างที่หลายคนคาดหวัง แต่ปีหน้าจะเห็นผลว่าเราจะโตอย่างยั่งยืน
ในช่วงไตรมาสสามของปีนี้ รัฐบาลจะทำสามส่วนหลักคือ เบิกจ่ายโบนัสข้าราชการ 6.8 พันล้าน สานต่อยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขโดยใช้ให้เงิน 5 พันล้านบาทกับชุมชนทั่วประเทศเพื่อนำไปพัฒนาต่อไป และสานต่อโครงการ SML ของรัฐบาลชุดที่แล้วโดยใช้งบอีก 5 พันล้านบาท หลังจากนั้นในช่วงไตรมาสที่สี่ รัฐบาลก็จะใช้เงินอีก 1.5 หมื่นล้านกับยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข สานต่อโครงการ SML และใช้งบจัดเลือกตั้งอีก 3.7 พันล้านบาท
ในซีกของการลงทุน ก็จะประมูลรถไฟรางคู่สายสีม่วงและสีแดง ปตท.ก็จะเดินหน้าลงทุนโครงการปิโตรเคมีเฟสสามที่มาบตาพุด
เอกชนมั่นใจเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังมีแนวโน้มสดใส หลังเห็นสัญญาณที่ดีว่ารัฐบาลจะสามารถจัดการเลือกตั้งได้ภายในสิ้นปีนี้ การลงทุนจากต่างประเทศมีโอกาสขยับเพิ่มขึ้นหลังชลอดูมาสักพัก ด้านนายแบงก์ปรับตัวเลขจีดีพีไทยอาจมีสิทธิโตได้ถึง 4 ถึง 4.5 เปอร์เซนต์

ดร. ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึงมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยในงานสัมนา “แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง” ว่าการที่รัฐบาลออกมาประกาศว่าจะจัดการเลือกตั้งให้ได้ภายในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ ส่งผลให้บรรยากาศการเมืองดีขึ้นมาก ซึ่งธนาคารกสิกรไทยเองก็ปรับตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีจาก 3.5 ถึง 4 เปอร์เซนต์ เป็น 4 ถึง 4.5 เปอร์เซนต์แล้ว ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกับตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีนี้ ทั้งนี้ปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่งที่สร้างความมั่นใจก็คือตัวเลขส่งออกในเดือนพฤษภาคมที่เติบโตถึง 20 เปอร์เซนต์ “ภาวะการเมืองมีอิทธิพลสูงมาก ภาคเอกชนเวลาลงทุน เขาต้องมั่นใจเรื่องความเสี่ยงและมีความเชื่อมั่นจริงๆ การเมืองถ้าดีจะทำให้การลงทุนกลับมา” ดร. ประสารกล่าว
ในส่วนของดอกเบี้ย ดร. ประสาร กล่าวว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ 3.5 เปอร์เซนต์ ก็อาจจะยังไม่ใช่จุดต่ำสุดอย่างที่หลายคนคิด เพราะยังต้องดูการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง) ในเดือนกรกฎาคมก่อน ซึ่งที่ประชุมอาจประกาศลดดอกเบี้ยลงอีกครั้งหนึ่ง แล้วหลังจากนั้น ดอกเบี้ยก็จะนิ่งและจะขยับขึ้นอีกครั้งในไตรมาสสองของปีหน้า เนื่องจากรัฐบาลคงใช้เวลาในการพยามฟื้นความเชื่อมั่นและเร่งให้เกิดการใช้จ่ายจากรัฐบาล

นายปีเตอร์ จอห์น แวน ฮาแรน ประธานหอการค้าต่างประเทศก็มองเห็นเช่นเดียวกันว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นจากการที่นักลงทุนอาจจะกลับมาคิดเรื่องที่จะลงทุนในไทยอีกครั้งหลังจากรอดูสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจมาสักพักใหญ่แล้ว เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจของไทยจริงๆ แล้วก็ไม่ได้แย่มากนัก และธุรกิจก็ต้องเดินหน้าต่อไป “ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่น่าลงทุนอยู่ เพราะสาธารณูปโภคพื้นฐานหลายอย่างก็ได้รับการพัฒนาไปได้ดีแล้ว ระบบอื่นๆหลายอย่างก็ทำมาได้ดี” นายแวน ฮาแรนกล่าว
นายแวน ฮาแรน ยังได้กล่าวอีกว่าทุกคนต้องคิดว่าเศรษฐกิจเรากำลังดีขึ้น และทุกอย่างก็จะดีขึ้น เราจะต้องควบคุมเศรษฐกิจภายในประเทศให้ได้เพราะเป็นสิ่งเดียวที่เราจะควบคุมได้ เพื่อจะได้รับมือกับปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ซึ่งก็คือเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม นายแวน ฮาแรนกล่าวเตือนรัฐบาลว่าประเทศไทยกำลังเจอคู่แข่งที่มาแรงมากโดยเฉพาะเวียตนามซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองของนักลงทุนจากหลายประเทศ รัฐบาลของเขาเองก็เปลี่ยนแปลงและสร้างนโยบายหลายอย่างเพื่อกระตุ้นการลงทุน เช่น เปิดเสรีการเงิน อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นร้อยเปอร์เซนต์ในธุรกิจโทรคมนาคมและธุรกิจบริการให้สิทธิพิเศษในการถือครองที่ดิน รวมทั้งลงทุนอย่างมากเพื่อสร้างระบบสาธารณูปโภค ฟิลิปปินส์ก็ให้สิทธิพิเศษการลงทุนหลายอย่างเช่นชักชวนให้ไปลงทุนอีโคคาร์ ดังนั้นรัฐบาลไทยควรจะคำนึงถึงการสร้างบรรยากาศในการลงทุน และเปิดประตูให้กว้าง โดยเร่งสร้างความชัดเจนในเรื่องของพรบ.การประกอบกิจการของคนต่างด้าว และแก้ไขภาคผนวกสาม อีกทั้งเร่งสร้างสาธารณูปโภคใหม่ๆ เพื่อให้นักลงทุนมั่นใจถึงประสิทธิภาพการขนส่ง สร้าง one-stop-service เพื่อเป็นศูนย์อำนวยความสะดวกตอบคำถามด้านการลงทุนทุกด้านแก่นักลงทุนต่างชาติ เร่งพัฒนาแรงงานที่มีฝีมือ คุยกับภาคเอกชนมากขึ้น และทำให้บรรยากาศการเมืองนิ่งอีกครั้ง

ด้านนายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ก็กล่าวว่าจริงๆแล้วภาคการลงทุนด้านหลังทรัพย์และในตลาดหลักทรัพย์ยังดีอยู่มากถึงแม้จะมีเหตุการณ์ต่างๆ เห็นได้จากเดือนกันยายนปีที่แล้วที่เกิดรัฐประหาร ตลาดหุ้นก็ตกลงไม่กี่วันและกลับมาดีขึ้นได้อย่างเร็ว และตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ มูลค่าการซื้อขายสุทธิก็ขยับในตัวเลขที่ดีโดยมูลค่าการซื้อขายสุทธิในเดือนมกราคมคือ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มเป็น 1.7 หมื่นล้าน แล้วตกลงไปที่ 1 หมื่นล้านบาทในเดือนมีนา แล้วก็ขยับขึ้นเรื่อยๆจนมีมูลค่า 2.9 หมื่นล้านบาทในเดือนมิถุนายน สิ่งที่ช็อกตลาดหุ้นจริงๆก็คือมาตรการสำรองเงิน 30 เปอร์เซนต์ ของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ก็กลับมาได้ แล้วก็มาช็อกอีกครั้งเมื่อเกิดระเบิดในช่วงต้นปี คำทำนายของโหรที่ชี้ว่าประเทศไทยจะเจอภาวะย่ำแย่ก็มีส่วนบ้าง
นายมนตรีชี้ให้เห็นว่าจริงๆแล้วนักลงทุนด้านการเงินต่างชาติยังเชื่อมั่น ในเศรษฐกิจไทยอยู่ แต่คนไทยกลับไม่มั่นใจในประเทศตัวเอง ซึ่งตรงนี้ต้องมาวิเคราะห์กันในแต่ละภาค โดยโครงสร้างทางเศรษฐกิจตอนนี้อาศัยเครื่องยนต์หลักๆอย่างเช่น การส่งออกซึ่งเป็นไปด้วยดีถึงแม้ว่าจะมีปัญหาค่าเงินบาทแข็ง การบริโภคในประเทศ และการลงทุนจากภาคต่างๆ ซึ่งสองปัจจัยหลังอยู่ที่ความเชื่อมั่นเป็นหลัก เขากล่าวว่าเรื่องของเศรษฐกิจเป็นเรื่องของจิตวิทยามวลชนของประเทศ ซึ่งคนไทยถูกทำให้กลัวจากเรื่องต่างๆตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้คนมีเงินแต่ไม่กล้าใช้ แล้วตลาดโดยรวมก็อ่อนแอ ถ้าทำให้ความกลัวหมดไปได้ เราก็จะเชื่อมั่น สถานการณ์ก็จะดีขึ้น
“ถ้ามองในแง่ของภาวะความเคลื่อนไหวของเงินลงทุนแล้ว ประเทศที่ฟู่ฟ่าตอนนี้ก็คือประเทศจีน อินเดีย และเวียตนาม แต่เขาก็ร้อนแรงเกินไป และเวลาเขย่า(การเคลื่อนไหวขึ้นลง)แต่ละครั้งก็แรงกว่า ไทยในฐานะที่อยู่มานานแล้ว ทิศทางการเคลื่อนไหวของเราจึงแรงน้องกว่า ขณะเดียวกันก็ยังรุ่งได้ เรียกได้ว่าตลาดของไทยคือดาวรุ่งที่รอวันวิ่ง” นายมนตรีกล่าว

นางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก็ยืนยันว่าประเทศไทยยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่เป็นแฟนคลับมานานแล้ว ซึ่งหมายถึงนักท่องเที่ยวแถบสแกนดิเนเวียและยุโรป เห็นได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงสามเดือนแรกที่เข้ามาทั้งหมด 3.8 ล้านคน ซึ่งโต 5.7 เปอร์เซนต์จากช่วงเดียวของปีที่แล้วไตรมาสที่สี่ของปีนี้ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นอยู่แล้วก็ได้รับรายงานตัวเลขว่าชาร์เตอร์ไฟลท์จะเข้ามาถึง 600 เที่ยว มาลงทั้งสี่สนามบินทั้งที่ดอนเมือง สุวรรณภูมิ สุราษฏ์ธานี และภูเก็ต ซึ่งจะนำนักท่องเที่ยวเข้ามาสองแสนกว่าคน ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับปีพศ. 2548 ที่ไม่มีชาร์เตอร์ไฟลท์เข้ามาเลยเนื่องจากซึนามิในปลายปีพศ. 2547 ทำให้ททท.มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 547.5 แสนล้านบาท ขณะเดียวกันก็ตั้งเป้าหมายว่าจะกระตุ้นคนไทยให้เที่ยวได้ 82 ล้านคนครั้ง ซึ่งจะทำรายได้ 377 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตามนักท่องเที่ยวจากแถบเอเชียมีน้อยลง เพราะเขาห่วงในปัจจัยเดียวกับคนไทยนั่นคือภาวะการเมืองที่ไม่นิ่งและเศรษฐกิจที่ชลอตัว